เมื่อครั้งที่ผ่านมาได้นำความรู้เกี่ยวกับมารยาทการฟังเพลงไทยมาฝาก ครั้งนี้จะเป็นความรู้เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติเบื้องต้นที่ดีในการขับร้อง เป็นความรู้เกี่ยวกับ วิธีการนั่ง การใช้กำลังเสียง การผ่อนลมหายใจ จังหวะในการแบ่งส่วนย่อยของเพลง การออกเสียงอักขระ และการออกเสียงเอื้อน
๑. การนั่ง เริ่มแรกของการฝึกท่านั่ง นั่งพับเพียบ ซึ่งเป็นลักษณะแบบไทยๆ หน้าตรง ไม่ก้มหน้า ไม่เหลียวหน้าเหลียวหลัง การนั่งพับเพียบดูเรียบร้อยงามตาตามลักษณะวัฒนธรรมไทย การนั่งตัวตรงไม่เหลียวไปมา เป็นลักษณะที่ถูกต้องตามหลักของสรีรสัทศาสตร์ คือ ช่วยให้สามารถระบายลมหายใจเข้า-ออก ได้สะดวก ช่วยให้ทุกส่วนในร่างกายปลอดโปร่ง ทำให้เสียงดังและไม่เหนื่อยแรง อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ขับร้องเพลงไทยไม่จำเป็นต้องนั่งพับเพียบเสมอไป การนั่งนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามโอกาสและสถานที่ เช่นในบางโอกาสต้องนั่งเก้าอี้ ที่สำคัญคือ ต้องนั่งตัวตรงไม่เหลียวไปมาตามที่กล่าวแล้ว
๒. การใช้กำลังเสียง กำลังเสียงหมายถึงการออกเสียงดังอย่างเต็มที่ในช่วงระยะลมหายใจแต่ละช่วง ออกเสียงให้เต็มที่ไม่ออมแรง การฝึกให้ร้องเต็มเสียงนี้ จะทำให้รู้กำลังของตัวเองว่าช่วงหายใจแต่ละช่วงจะออกเสียงได้นานเท่าใด เพราะในขณะที่เสียงออกจะเป็นช่วงของการระบายลมหายใจออกเท่านั้น เวลาฝึกอ้าปากเล็กน้อยเพื่อให้เสียงออกได้ชัดเจนและไม่ขึ้นจมูก
๓. การผ่อนเลาหายใจ ช่วงระยะของการหายใจมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการขับร้องเพลงไทย ควรรู้ระยะการผ่อนหายใจในแต่ละวรรค แต่ละช่วงด้วย ฝึกอ่านหนังสือให้ถูกวรรคตอน และได้ใจความ ฝึกให้กักลมหายใจไว้แล้วค่อยๆผ่อนเมื่อหมดวรรคเพราะปกติแล้ว คนเราหายใจเข้าทุกๆ ๕ วินาที แต่ถ้าเราพูดประโยคยาวๆเราเปลี่ยนอัตราการหายใจเข้าออก ปกติเราจะพูดเวลาหายใจออกเท่านั้น การผ่อนหายใจจึงมีส่วนสัมพันธ์กับกำลังเสียงเป็นอย่างมาก ถ้าเราสามารถกักลมหายใจไว้ได้นาน จะช่วยให้เอื้อนหรือเปล่งเสียงได้ยาวตามต้องการ
๔. จังหวะ คือการแบ่งส่วนย่อยของทำนองเพลง ซึ่งดำเนินไปด้วยเวลาอันสม่ำเสมอ จังหวะเป็นสิ่งสำคัญควรรู้จักรักษาให้ถูกต้อง คือ ให้มีความสม่ำเสมอ ไม่เร็วหรือช้าเกินไป การแบ่งช่วงหายใจมีส่วนช่วยในเรื่องจังหวะเป็นอย่างมาก เคาะจังหวะเวลาร้องเพลงทุกครั้ง
๕. อักขะระดี ในที่นี้หมายถึงการเปล่งถ้อยคำให้ถูกต้อง ชัดเจน การร้องเพลงไทยให้ชัดเจนนั้น ดูเหมือนว่ายากกว่าการพูดให้ชัด ทั้งนี้เพราะนอกจากจะระมัดระวังการใช้อวัยวะในการกล่อมเสียง เช่น ปาก ลิ้น ฟัน ฯลฯ ให้ถูกต้องแล้ว ยังต้องระวังระดับเสียง ท่วงทำนองและวรรคตอนให้ถูกต้องอีกด้วย การฝึกอักขระควรฝึกในหัวข้อต่อไปนี้ ก. ร้องให้ถูกตามบทริองเช่น พุทธา นุภาพ นำผล ข. ออกเสียง ร ล หรือควบกล้ำให้ชัดเจน ค. ออกเสียงสั้นยาวให้ถูกต้อง เช่น เสร็จ สนุก ฯลฯ
ควรอ่านบทร้องก่อน โดยให้รู้จักวรรคตอนให้ถูกต้องตามลักษณะของบทร้อง ฝึกออกเสียง ร ล ฯลฯ คำสั้น-ยาว ให้ถูกต้องเสียก่อนจึงเริ่มขับร้อง
๖. เสียงเอื้อน สัญลักษณ์ของเพลงไทย คือการทำเสียงให้เป็นทำนองเรียกว่า เสียงเอื้อน เสียงเอื้อนเป็นเสียงที่ผ่านออกมาจากลำคอโดยตรง มีอยู่มากมายหลายเสียงและมีที่ใช้ต่างกัน ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเพียงบางเสียงที่ใช้กันมาก
ก. เสียงเออ เป็นเสียงสำคัญมาก คือ มีหน้าที่เป็นเสียงนำ ใช้กันมากในการขับร้อง
วิธีทำเสียง “เออ” ตั้งตัวให้ตรง เพื่อประโยชน์ในการออกเสียง อ้าปากเล็กน้อย พร้อมกับเปล่งกระแสเสียงออกจากคอให้ดังพอสมควร บังคับเสียงให้มีน้ำหนักที่คอแรงหน่อย กระดกปลายลิ้นขึ้นไม่ให้โดนฟันล่าง และบน เพื่อให้เสียงโปร่งและชัดเจน ระบายเสียงออกไปเรื่อยๆอย่าให้ฟันบนและฟันล่างกระทบกันการใช้กำลังเสียงควรเป็นระดับเดียวกัน โดยไม่ต้องขยับคาง ข. เสียงเอย มีที่ใช้ในตอนสุดวรรค หรือหมดเอื้อน หรือวรรค ของเอื้อน จะขึ้นบทร้อง
วิธีทำเสียง “เอย” ลักษณะการออกเสียงเป็นไปเช่นเดียวกับการออกเสียง “เออ” แต่เมื่อจะให้เป็นเสียง “เอย” ก็ให้เน้นที่มุมปาก โดยให้ปลายลิ้นแตะฟันล่าง ( ความรู้ที่นำมาฝาก เป็นความรู้ที่ ดร. สิริชัยชาญ ฟักจำรูญ และคณะ เขียนไว้ในหนังสือ อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ครูพริ้ง กาญจนผลิน พ.ศ. ๒๕๒๙ )
หลักและวิธีการบรรเลงดนตรี หลักและวิธีการบรรเลงดนตรีโดยทั่วไป ได้แก่ การนั่งหรือยืนบรรเลงด้วยบุคลิกที่สง่างาม หลังตรง อกผาย ไหล่ผึ่ง ไม่เกร็ง มีสมาธิ จัดท่าท่างการจับอปุกรณ์คสนตรีและปฏิบัติตามวิธีการของเครื่องดนตรีแต่ละชนิดรูปแบบการบรรเลงดนตรี 1.การบรรเลงเดี่ยว เป็นการบรรเลงด้วยเครื่องดนตรี ๑ ชิ้น บรรเลงทำนองเพลง หรือการบรรเลงด้วยเครื่องดนตรี ๑ ชิ้น 2.การบรรเลงหมู่ เป็นการบรรเลงเครื่องดนตรี ๒-๙ ชิ้น โดยใช้เครื่องดนตรีประเภทเดียวกัน หรือ หลายประเภท 3.การบรรเลงหมู่ขนาดใหญ่ เป็นการบรรเลงเครื่องดนตรีจำนวนมากและจัดรูปแบบเช่นเดียวกับวงโยธวาทิต การฝึกปฏิบัติการขับร้องและบรรเลงดนตรี1.การจำเพลง ได้แก่ การออกเสียงตามสัญญาณมือ ๑-๒ แนว การออกเสียงตามโน้ตทำนองเพลง การระบุชื่อเพลงจากโน๊ตทำนองเพลงที่นักเรียนรู้จัก 2.การด้นสด หมายถึง การคิดแนวขับร้องและบรรเลงดนตรีใหม่โดยทันที ได้แก่ การสร้างรูปแบบของจังหวะเพื่อใช้บรรเลงเพลงประกอบทำนองเพลง ออกเสียงและบรเลงดนตรีตามโน้ตในกุญแจเสียงต่าง ๆการฝึกปฏิบัติการขับร้องเดี่ยว ขับร้องหมู่และขับร้องประสานเสียงเริ่มจากการขับร้องจนสามารถขับร้องในกลุ่มได้ถูกต้อง จึงฝึกการขับร้องเดี่ยวและขับร้องเพลงปรานเสียง เพลงสำหรับการขับร้องเดี่ยวและขับร้องหมู 1. เพลงพื้นเมือง 2.เพลงไทย 3.เพลงสากล เพลงประสานเสียง 1.เพลงวน 2.เพลงประสานเสียง 2 แนว 3.เพลงประสานเสียง 3 แนว การฝึกปฏิบัติเครื่องดนตรีเฉพาะอย่าง
1.เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงจังหวะ 1.1 เครื่องดนตรีพื้นเมือง เช่น โทน กลองยาว ฉิ่ง เป็นต้น 1.2 เครื่องดนตรีไทย เช่น กลองแขก ฉิ่ง ฉาบ กรับ เป็นต้น 1.3 เครื่องดนตรีสากล เช่น กลองเบส กลองแท็ก ฉาบ เป็นต้น
2. เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงทำนอง 2.1 เครื่องดนตรีพื้นเมือง เช่น ระนาด อังกะลุง ฉาบ เป็นต้น 2.2 เครื่องดนตรีไทย เช่น ระนาดเอก ขลุ่ย ซออู้ ฮอด้วง เป็นต้น 2.3 เครื่องดนตรีสากล เช่น เมโลเดียน คีย์บอร์ด ไวโอลีน กีตาร์ เป็นต้น
การบรรเลงดนตรี การรบรรเลงเดี่ยว เป็นการบรรเลงโดยเครื่องดนตรีสร้างทำนองเพียงเครื่องเดียว โดยมีเครื่องเคาะจังหวะบรรเลงประกอบด้วย ปกติเพลงที่ใช้บรรเลงเดี่ยวจะเป็นเพลงขับร้องและบรรเลงหมู่ทั่วไป ซออู้ เป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่ใช้ร่วมกับเครื่องดนตรีอื่น ๆ โดยเฉพาะในพิธีเชิญผีไท้ ผีแถน การใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้านของชาวอีสานมักจะประดิษฐ์ขึ้นให้สอดตล้องกับธรรมชาติของเสียงในขณะที่มรเสียงต่ำก็จะใช้ซออู้แทนเพื่อให้คล้ายคลึงกับเสียงผู้เฒ่า ใช้ซอด้วงแทนเสียงหนุ่มสาวซออู้แทนเสียงธรรมชาติ ลักษณะของซออู้ เป็นซอสองสาย ตัวกะโหลกทำด้วยกะลามะพร้าว โดยตัดปาดกะลาออกเสียด้านหนึ่งและใช้หนังลูกวัวขึงหน้าซอ กว้างประมาณ 13-14เซนติเมตร เจาะกโหลกให้ทะลุตรงกลาง เพื่อให่คันทวนที่ทำไม้ผ่านกะโหลกลงไปออกทะลุรูตอนล่างใกล้กะโหลก คันลูกบอกซออู้ยาวประมาณ 17-18เซนติเมตร ใช้เชือกผูกรั้งกับทวนตรงกลางเป็นรัดอกเวลาสี ส่วนคันสีชองซออู้ทำด้วยไม่ยาวประมาณ 70 เซนติเมตร ใช้ขนหางม้าประมาณ 160-200 เส้น ตรงหน้าซอใช้ผ้าม้วนกลมๆ แกะสลักเป็นรูปลวดลายสวยงามและเป็นช่องทางให้เสียงออกด้านนี้
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น